วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Learning Record 15
Tuesday 1 May 2018
knowledge


  • วันนี้อาจารย์สรุปเนื้อหาที่เรียนมาทั้งหมด และบอกแนวข้อสอบปลายภาค 
  • แนะนำแฟ้มสะสมผลงานระหว่างไปฝึกประสบการณ์
  • อธิบายเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมองอนุบาล


แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามหลัก Brain-Based Learning วางอยู่บนฐานคิดที่เข้าใจการทำงานของสมอง

หลักการเรียนรู้ของสมอง

  • สมองเป็นอวัยวะ พิเศษ ของร่างกาย ต้องการทั้ง อาหารกาย และ อาหารใจในสัดส่วนที่ ถูกต้อง เหมาะสม ตลอดช่วงอายุ ตั้งแต่ อยู่ในครรภ์มารดา ถึง วัยชราสมองต้องการ อาหารใจทั้งใน การเจริญเติบโต การเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้/การทำงาน ให้เต็มที่
  • สมองเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีความพร้อมครบทั้ง 3 ด้าน คือ
    1) ความพร้อมด้านอารมณ์...เด็กเล็กต้อง เปิดสมอง/limbic ก่อนทุกครั้ง
    2) ความพร้อมด้านองค์ความรู้...ความรู้ยาก/สูง เกินสมองเด็ก
    3) ความพร้อมด้านพัฒนาการของสมอง...สมองส่วนหน้ายังเจริญเติบโตไม่เต็มที่  
  • สมองเรียนรู้เต็มที่ เมื่อ สมองเปิด...limbic system เปิด วิธีการเปิดสมองทำได้หลายวิธี เช่น นั่งสมาธิ การเคลื่อนไหวประกอบบทเพลง ปรบมือเป็นจังหวะ เปิดโอกาสให้เด็กทำกิจกรรมที่ชอบ สนใจ เพลิดเพลิน สุข สนุก
  • องค์ความรู้ เดินทางเข้าสู่ สมองเด็กได้ หลายช่องทาง ในเวลาเดียวกัน...จากการ ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส และ ความสุขใจ พอใจ เช่น เด็กทารกเรียนรู้เอกลักษณ์ของตัวแม่ได้ 6 ช่องทางพร้อมๆกันขณะที่กำลังดูดนมสมองเรียนรู้ จาก ของจริงไปหา สัญลักษณ์ และ จาก ง่าย ไปหา ยาก
  • ความเข้าใจที่เกิดจากการสัมผัสตรงทางตา ทางหู ผิวสัมผัสทางกาย การเคลื่อนไหว ทางจมูก ทางลิ้น และทางใจ สมองเรียนรู้ด้วย ความเข้าใจมากกว่า ความจำ
  • การเรียนรู้โดยไม่ตั้งใจ ในทารก และเด็กเล็ก จะเป็นไปได้ง่าย รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ละเอียด ลึกซึ้ง กว้างขวาง มากกว่าเมื่อเด็กถูกบังคับให้เรียน ในเด็กเล็กช่องทางสำหรับการเรียนรู้มีเพียง 1 ช่องทาง เท่านั้น คือแบบไม่ตั้งใจ เพราะสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่บังคับให้เรียนรู้ยังเจริญเติบโต ไม่เต็มที่ .การเรียนรู้ในเด็กเล็ก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปิดสมอง/เปิดลิมบิก ก่อนเริ่มต้นเข้าสู่บทเรียนทุกครั้งสมองเรียนรู้ได้ 2 แบบ ..คือ ไม่ตั้งใจ เมื่อ สมองเปิด/ลิมบิกเปิด และ ตั้งใจ เมื่อถูกบังคับ โดยพ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง
  • การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่ดีต้องให้เด็กได้เรียนรู้ครบทั้ง 6 ช่องทาง ถ้าไม่ได้ทั้ง 6 ช่องทาง ได้เพียง 5, 4 หรือ 3 ช่องทาง ยังดีกว่า 1 หรือ 2 passive learning คือ การเรียนรู้ที่เด็กนั่งฟังแต่ครูบรรยาย active learning คือ การเรียนรู้ที่เด็กได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ลองผิด ลองถูก...ได้พูด ได้ขีดเขียน ได้ปั้น ได้แปะ ได้เคลื่อนไหว ได้สัมผัส ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส สมองเรียนได้ดีจาก active learning มากกว่า passive learning
  • BBL คือ การสร้าง การฝึกสมอง ให้สมองเรียนรู้การแก้ปัญหาได้ถูกต้อง แม่นยำ เหมาะสม ทุกช่วงวัยของการเรียนรู้ และสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในวิชาชีพได้จริง ในอนาคตการเรียนรู้การแก้ปัญหาในเด็กเล็กต้องเริ่มจากปัญหาง่ายๆ ที่เด็กเล็กคนนั้นสามารถทำได้ก่อนทุกครั้งที่เด็กสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ ก็มีอาหารใจเกิดขึ้น มีการหลั่งสารแห่งความสุข ...endorphin ออกมา เด็กก็จะมี พลังจิต พลังปัญญา ที่อยากจะแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นๆ   
  • สมองวัยอนุบาล

    สมองมีระยะพัฒนาการต่างๆ กันในแต่ละวัย หลักสูตรที่เหมาะกับแต่ละวัย ต้องสอดคล้องกับความต้องการของสมองระยะนั้น

    • สมองของเด็กวัยอนุบาล ส่วนรับสัมผัส และส่วนเคลื่อนไหว กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ การจัดการเรียนรู้หรือการจัดประสบการณ์จึงเน้นเรื่องการพัฒนาระบบการเคลื่อนไหว และระบบสัมผัส ในตารางกิจกรรมจึงจัดช่วงเวลาพัฒนาการของร่างกายไว้อย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาทั้งสองระบบนี้
    • สมองของเด็กในวัยอนุบาล การติดต่อส่งผ่านข้อมูลต่างๆ ในสมองเป็นไปอย่างรวดเร็ว สมองซีกซ้าย, สมองซีกขวา, สมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว และสมองส่วนควบคุมความรู้สึก ข้อมูลนำเข้าต่างๆ จะกระตุ้นให้สมองใช้ประโยชน์จากความเร็วนี้   

    แนวทางจัดการเรียนรู้ตามพัฒนาการ

    แนวทางพัฒนาร่างกายและการเคลื่อนไหว
    • เน้นให้เด็กฝึกเคลื่อนไหวร่างกายโดยใช้ทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ เดิน วิ่ง กระโดด คลาน ปีน โยก เด้ง
    • เน้นให้เด็กฝึกเคลื่อนไหวร่างกายพร้อมอุปกรณ์ เช่น เชือก ลูกบอล
    • เน้นให้เด็กฝึกการใช้สมดุลของร่างกาย งอตัว ยืดตัว บิดตัว
    • เน้นให้เด็กพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อละเอียด เล่นอุปกรณ์ของเล่นที่พัฒนาระบบสัมผัส เช่น ร้อยลูกปัด บล็อก
    • เน้นให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสนาม และเล่นของเล่นหรืออุปกรณ์ต่างๆ
    • เน้นให้เด็กฝึกบรรจุ เท แยกชิ้นส่วน ประกอบเข้า เล่นน้ำ เช่น เทน้ำลงภาชนะรูปทรงต่างๆ
    แนวทางพัฒนาภาษา
    • พัฒนาผ่านการ
      • - อ่านให้ฟัง
      • - อ่านด้วยกัน
      • - อ่านเอง
    • เน้นให้เด็กพัฒนาทักษะการใช้คำพูดเพื่อสื่อสาร
      • - พูดแสดงความรู้สึก
      • - แสดงความคิดเห็น
      • - เล่าเรื่องราวที่พบเห็นมา
      • - เล่าสิ่งที่คิด
      • - เล่านิทาน
    • เน้นจัดกิจกรรมให้เด็กเล่นกับเรื่องราวและภาษา
      • - ต่อคำสัมผัสกลอน
      • - ท่องบทร้องเล่น
      • - เล่นกับคำที่สนุก ตลก และไม่จำเป็นต้องมีความหมาย
      • - เล่นละคร
    • เน้นให้เด็กได้ฝึกเขียนตัวหนังสือและข้อความ เมื่อเด็กพร้อม
      • - เขียนอิสระ
      • - เขียนสิ่งที่คิด
      • - เขียนคำที่อยากเขียน
      • - เขียนตามนิทานที่ชอบ
    • เน้นใช้บทเพลงและเรื่องเล่าของท้องถิ่น เป็นสิ่งกระตุ้นให้เด็กสนใจพัฒนาภาษาของตนเอง
    แนวทางพัฒนาด้านศิลปะ
    • ศิลปะ คือ การคิดและจินตนาการออกมาเป็นภาพ
    • เปิดโอกาสให้สมองลองจินตนาการ ว่า ถ้าเอาสิ่งนี้รวมกับสิ่งนั้น หรือสิ่งโน้น จะเกิดอะไรขึ้น หรือ ถ้าทำแบบนี้ผลจะออกมาเป็นแบบไหน
    • ให้เด็กลองนำสิ่งที่สมองคิดอยู่ข้างใน ถ่ายทอดออกมาด้วยมือ ให้ตามองเห็นว่านี่ใช่สิ่งที่คิดหรือไม่ ถ้ามือทำงานแบบหนึ่ง ผลจะออกมาอย่างไร ผ่านการ
      • - วาด
      • - ปั้น
      • - เป่าสี
      • - ระบายสี
      • - ตัด
      • - ปะ
      • - เย็บ
      • - เรียง
      • - เท
      • - แยกออกไป
      • - ประกอบเข้า
      • - ร้อย
      • - วาง
      • - ตอก
      • - ถอดออก
    • เน้นให้เด็กได้ทำกิจกรรมศิลปะหลากหลายด้วยมือของตนเอง
      • - สร้าง จัดวาง สร้างสรรค์ ถ่ายทอดความคิดออกมาโดยใช้สื่อต่างๆ เช่น ทราย น้ำ แท่งไม้
      • - เข้าร่วมการแสดง เช่น เต้น รำ เล่นละคร เล่าเรื่อง ท่องบทกวี
      • - จัดประสบการณ์ศิลปะจากวัฒนธรรมท้องถิ่น
    • เน้นให้เวลาเพียงพอในการลองทำ และการทำซ้ำ เมื่อผ่านการลงมือทำจนเพียงพอแล้ว สมองจะเริ่มสร้างความเข้าใจโลกเบื้องต้นขึ้นมาด้วยตัวเอง
    แนวทางพัฒนาอารมณ์และจิตใจ
    • สำหรับเด็กอนุบาล อารมณ์เป็นปฏิกิริยาที่เด็กแสดงออกมาเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับโลก
    • การพัฒนาอารมณ์และจิตใจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะจูงให้เกิดขึ้น การขัดเกลาอารมณ์ต้องอาศัยความประทับใจ ความดีใจ ความเสียใจ และความเห็นอกเห็นใจ ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางเหตุการณ์
    • เน้นให้เด็กฟังนิทาน เรื่องเล่า เรื่องจริงที่น่าจดจำและสะเทือนใจ เช่น นิทานอีสป นิทานไทย นิทานจากตำนาน นิทานชาดก เรื่องตลก
    • เน้นนำเด็กเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในชุมชน เพื่อให้เด็กชื่นชมประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และตำนานของท้องถิ่น
    • เน้นให้เด็กได้เขียนภาพ ดูงานศิลปะ และท่องเที่ยว หรือชื่นชมและสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม
    • เน้นให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมศาสนา การกุศล ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงาม
    แนวทางพัฒนากระบวนการคิด
    • เริ่มต้นที่การให้เด็กจับต้อง สัมผัส และมีประสบการณ์ตรง สมองเรียนรู้ได้ดี ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ก่อรูปเป็นวงจรการคิด
    • เน้นให้เด็กฝึกคิด การฝึกให้เด็กคิด ไม่ใช่การฝึกโดยใช้แบบฝึกหัดบนกระดาษ แต่ต้องนำเด็กเข้าสู่กระบวนการคิดโดยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลองต่างๆ เช่น ให้เด็กแสดงบทบาทสมมติ ให้เด็กทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดและตัดสินใจ
    • เน้นการลงมือปฏิบัติผ่านกิจกรรมอันหลากหลาย เพื่อสำรวจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้
      • - สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
      • - สิ่งต่างๆ เคลื่อนที่อย่างไร เพราะอะไรจึงเคลื่อนที่
      • - สิ่งต่างๆ อาจจำแนกออกเป็นประเภท/กลุ่มอะไรบ้าง ตามความเข้าใจของตนเอง
      • - พัฒนาความเข้าใจเรื่องมิติโดยลองจัดกลุ่มรวมเข้า แยกออก มองวัตถุด้วยแว่นขยาย
      • - พัฒนามุมมองโดยดูภาพ 2 มิติ แผนผัง สร้างวัตถุ 3 มิติ เช่น ต่อบล็อก ปั้นดินเหนียว ดินน้ำมัน
      • - สังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
      • - ฝึกพูด เขียน โดยใช้คำศัพท์ และคำนิยาม
    • เน้นฝึกให้เด็กตั้งประเด็นคำถาม และหัดใช้ความคิด รับรู้ว่าการคิดนำไปสู่การตอบคำถามที่สมองสงสัย เช่น
      • - สิ่งนี้คืออะไร
      • - มีไว้ทำไม
      • - ถ้าไม่มีจะใช้อะไรแทนได้บ้าง
      • - สิ่งนี้มาจากไหน
      • - ใครสร้างขึ้นมา
      • - สิ่งนี้ต่างกับสิ่งนั้นอย่างไร
    • เน้นฝึกให้เด็กใช้คำศัพท์ เพื่อทบทวนชุดความเข้าใจในประสบการณ์ที่ได้มา
      • - ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
      • - ร้อน เย็น อุณหภูมิ
      • - นับ บวก ลบ

    ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้

    สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้
    • สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ ถือเป็น ปัจจัยสำคัญยิ่งในการพัฒนาสมองเด็ก ห้องเรียน พื้นที่กลางแจ้ง พื้นที่ในร่ม ธรรมชาติแวดล้อม การประสานกันระหว่างครอบครัว โรงเรียน ชุมชน
    การประสานกันระหว่าง ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน
    • การจัดการเรียนรู้ตามหลัก Brain-Based Learning นี้ให้ความสำคัญกับการประสานกันระหว่าง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน
    การวัดและประเมินพัฒนาการ
    • ประเมินพัฒนาการเด็กอย่างสม่ำเสมอ
    • มีแบบบันทึกการประเมินที่มีมาตรฐาน การประเมินเป็นไปเพื่อกระตุ้นพัฒนาการ   

 ที่มา : http://www.okmd.or.th/bbl/documents/322/brain-based-learning


วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Learning Record 14
Monday 30 April 2018
knowledge

กิจกรรมการเรียนการสอนวันนี้ อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มที่สอนในหน่วยต่างๆ ของ วันพฤหัสบดี ออกมาสอนกิจกรรมเสริมประสบการณ์ หน้าชั้นเรียนให้ครบทุกกลุ่ม และสอนใน วันศุกร์ ต่อเพื่อทดลองสอนให้เพื่อนๆ ดู เพื่อนำไปปรับใช้ในการออกฝึกประสบการณ์

หน่วยผลไม้เพื่อสุขภาพ (วันพฤหัสบดี)
(วิธีถนอมผลไม้)
วัตถุประสงค์
1. ร่วมสนทนากับครูได้             
2.บอกวิธีการถนอมอาหารประเภทผลไม้ได้                                 
3. มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น                                            
4. พัฒนาทักษะการสังเกตและการเปรียบเทียบ                                            





สาระที่ควรเรียนรู้
      - การถนอมอาหาร ผลไม้หลายชนิดสามารถนำมาทำอาหารเก็บไว้รับประทานได้นานๆ หลายวิธี เช่น ตากแห้ง เชื่อม แช่อิ่ม กวน ดอง ฯลฯ
- ทักษะการสังเกต
- ทักษะการเปรียบ เทียบ

ประสบการณ์สำคัญ
1. การร่วมสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น                             
2. การถนอมอาหาร
3. การสังเกตสิ่งต่างๆโดยใช้ปราสาทสัมผัสด้วยการมอง ฟัง สัมผัส ชิมรสและดมกลิ่นอย่างเหมาะสม


กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
1. ให้เด็กทายปริศนาคำทาย ดังนี้
-อะไรเอ่ย? ลำต้นอวบใหญ่ มีใบสีเขียว ออกผลครั้งเดียว เป็นเครือเป็นหวี ตอบ กล้วย

ขั้นสอน
2.เด็กและครู ร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับการเก็บและการถนอมอาหารประเภทผลไม้ ดังนี้
- ทำอย่างไร เราจึงจะเก็บผลไม้ไว้รับประทานได้นานๆ
- การเก็บและการถนอมอาหารมีวิธีใดบ้าง
3. ให้เด็กสังเกตรูปภาพผลไม้ที่ผ่านการถนอมอาหารมาแล้ว เช่น  กล้วยตาก เงาะกระป๋อง ผลไม้ดอง ฯลฯ           

4.ครูเขียนลงชาร์ต วิธีถนอมอาหาร
5.เด็กและครู ร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับผลไม้ที่ทำเองได้ที่บ้านกับผลไม้ที่ใช้เครื่องจักร ดังนี้
-ผลไม้ที่เราทำเองได้ที่บ้านมีอะไรบ้าง
-ผลไม้ที่ใช้เครื่องจักรทำมีอะไรบ้าง
ทำเองได้ที่บ้าน
ใช้เครื่องจักรทำ
เช่น กล้วยตาก
มะม่วงแช่อิ่ม

เช่น เงาะกระป๋อง
แยมผลไม้

ขั้นสรุป   
6.เด็กและครูร่วมกันสรุปวิธีการถนอมอาหารประเภทผลไม้

สื่อ
1. ปริศนาคำทาย
2.รูปภาพ
3.ชาร์ตวิธีถนอมอาหาร
4.ชาร์ตตารางผลไม้ที่ทำเองได้ที่กับผลไม้ที่ใช้เครื่องจักร                    

การประเมิน
สังเกต                       
1. การสนทนาและการตอบคำถาม              
2. การร่วมกิจกรรม                 
3. ทักษะการสังเกตและการเปรียบเทียบ





ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • ต้องสอนให้ตรงกับแผนที่เขียนมา
  • ต้องมีจังหวะในการเชื่อมโยงเข้าสู่ ขั้นนำ

หน่วยบ้านแสนสุข (วันพฤหัสบดี)
(หน้าที่ของสมาชิกในบ้าน)
วัตถุประสงค์
1.เด็กบอกหน้าที่ของตนเองขณะอยู่บ้านได้
2.เด็กฟังและตอบคำถามได้
3.เด็กสามารถร่วมสนทนาและแสดงความคิดเห็นได้




สาระที่ควรเรียนรู้
      ทุกคนในบ้านมีหน้าที่ต่างกัน เราควรช่วยเหลือตนเองในเรื่องการอาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหาร เก็บของเล่น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่

ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
1.การปฏิบัติตนตามสุขอนามัย
ด้านอารมณ์-จิตใจ
2.การแสดงออกอย่างสนุกสนานกับเรื่องตลก ขำขันและเรื่องราว เหตุการณ์ที่สนุกสนานต่างๆ
ด้านสังคม
3.การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง
ด้านสติปัญญา
4.การแสดงความรู้สึกด้วยคำพูด

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ 
1.ครูและเด็กร่วมกันท่องคำคล้องจอง
คำคล้องจอง ของใช้ประจำตัว
ของใช้ของหนู ต้องดูให้ดี
เก็บไว้เป็นที่ อย่าให้ปะปน
แก้วน้ำ เสื้อผ้า ขนม
อย่าให้สับสน  เก็บไว้ให้ดี
2. ครูสนทนาเกี่ยวกับคำคล้องจอง โดยถามคำถาม เช่น
- ในคำคล้องจองบอกให้เด็กทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างไรบ้าง
- นอกจากสิ่งที่มีอยู่ในคำคล้องจองเด็กๆมีหน้าที่อะไรอีก

ขั้นสอน
3. ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับหน้าที่ที่เด็ก













  
ควรทำในบ้าน โดยครูใช้คำถาม ดังนี้
-ในขณะที่เด็กๆอยู่ที่บ้านเด็กช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานอะไรบ้าง ?
- ถ้าเด็กๆ วางของกระจัดกระจายเต็มบ้านจะเป็นอย่างไร ?
-เด็กๆมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้บ้านน่าอยู่ ?
4.ครูนำบัตรภาพเกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆ มาให้เด็กดูพร้อมกับอธิบายรูปภาพนั้น
5.ให้ตัวแทนเด็กออกมาติดบัตรภาพลงในตารางที่ครูเตรียมไว้









   ขั้นสรุป 
   6.เด็กและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมหน้าที่ภายในบ้าน  

สื่อ
1.อุปกรณ์เกม
2.ชาร์ตสรุปกิจกรรม 


การประเมิน
การสังเกต
1.การฟังและการตอบคำถาม
2.การทำงานร่วมกับผู้อื่น
3.การอธิบายหน้าที่ของตนเองขณะอยู่บ้าน










ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • ในคำคล้องจองไม่ควรถามเด็กว่า " แก้วน้ำเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าได้หรือไม่ "
  • ควรจะเป็นการตั้งคำถามปลายเปิด เช่น เด็กๆ คิดว่า.......

หน่วยบ้านแสนสุข (วันศุกร์)
(การปฏิบัติตนของสมาชิกในบ้าน)
วัตถุประสงค์
1.เด็กสามารถร่วมสนทนาและแสดงความคิดเห็นได้
2.บอกวิธีการปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีเมื่ออยู่ที่บ้านได้
3.เด็กกล้าแสดงออกและสามารถทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้




สาระที่ควรเรียนรู้
      การปฏิบัติตนต่อคนในครอบครัว เช่น การเป็นเด็กดี เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ ช่วยพ่อแม่ ไม่เกเร ช่วยทำงานบ้าน เป็นต้น 

ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
     การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย
ด้านอารมณ์
   กล้าพูดกล้าแสดง
ออกอย่างเหมาะสม
ด้านสังคม
    การทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
ด้านสติปัญญา
     การตอบคำถาม และการสังเกต

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
    1.ครูเล่านิทานเรื่อง น้องไข่เจียวเป็นเด็กดีช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ให้เด็กฟังแล้วสนทนาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในนิทาน และเชื่อมโยงว่านอกจากในนิทานแล้วมีการปฏิบัติตนต่อคนในบ้านอย่างไรอีก แล้วบันทึกผลบนกระดาน โดยใช้คำถาม ดังนี้
       - น้องไข่เจียวปฏิบัติตนในบ้านอย่างไรบ้าง 
       - แล้วนอกจากในนิทาน เด็กๆมี วิธีปฏิบัติตนต่อคนในครอบครัวอย่างไร

ขั้นสอน

1.ครูนำภาพการปฏิบัติตนต่อคนในบ้านมาให้เด็กสังเกต ดังนี้
      -ภาพเด็กเคารพเชื่อฟังพ่อแม่
      -ภาพเด็กมีกิริยามารยาทที่สุภาพ
      -ภาพเด็กช่วยทำงานบ้าน
      -ภาพเด็กไม่เกเรหรือทำอันตรายผู้อื่น
 2. ครูและเด็กร่วมกันสนทนาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพ ดังนี้
      -เด็กๆคิดว่า เด็กในภาพนี้ทำอะไรอยู่
      -จากในภาพ เด็กๆควรปฏิบัติตามหรือไม่ เพราะอะไร
 3. ครูขออาสาสมัครให้เด็กออกมาทำท่าทางกิจกรรมที่เด็กๆ ปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้าน แล้วให้เพื่อนๆ ช่วยกันทายว่า ทำกิจกรรมอะไร ครูอธิบายเพิ่มเติม

ขั้นสรุป

       ครูและเด็กร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้าน ดังนี้ ทุกคนในบ้านต้องมีหน้าที่ในการปฏิบัติ  เด็ก ๆก็ต้องมีหน้าที่ในการปฏิบัติตนต่อคุณพ่อคุณแม่และคนในครอบครัว ดังนั้นทุกคนมีหน้าที่ในการดูแลบ้านและปฏิบัติตนต่อคนในบ้าน 

สื่อ
1.นิทานเรื่อง น้องไข่เจียวเป็นเด็กดีช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
2.ภาพเด็กทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน

การประเมิน
สังเกตพฤติกรรมของเด็ก ดังนี้
1.บอกวิธีการปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดี
2.การฟังและตอบคำถาม
3.การแสดงออกและการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น








ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • ขั้นนำ ครูต้องนำเทคนิคการนำเข้าสู่บทเรียน เช่น เล่านิทาน เพลง คำคล้องจอง เกม มาเป็นตัวนำเข้าสู่เนื้อหาที่จะเรียน
  • ขั้นนำ >>>>> ควรนำด้วยนิทาน ขั้นสอน >>>>> ควรสอนด้วยรูปภาพ 
  • ควรเขียนสาระที่ควรเรียนรู้ให้ละเอียด

หน่วยใต้ร่มเงาไม้ (วันศุกร์)
(ข้อควรระวัง)
วัตถุประสงค์
1.เด็กสามารถรู้จักข้อควรระวังของต้นไม้
2.เด็กสามารถร่วมสนทนากับครูได้
3.เด็กสามารถร่วมกิจกรรมด้วยความสนุกสนาน




สาระที่ควรเรียนรู้
      กิจกรรมการ เล่านิทาน เป็นกิจกรรมที่เรียนรู้ผ่านการเล่านิทานโดยใช้หน่วยใต้ร่มเงาไม้ ในหัวข้อ ข้อควรระวัง สอนให้เด็กระวังกิ่งไม้หัก ยางจากใบไม้ สัตว์หรือแมลงที่อาศัยอยู่ในต้นไม้ และเวลาฝนไม่ควรอยู่ใต้ต้นไม้ 

ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
1.การเคลื่อนไหวอยู่กับที่
ด้านอารมณ์และจิตใจ
2. การแสดงออกอย่างสนุกสนานกับเรื่องตลก ขำขัน เรื่องราว / เหตุการณ์สนุกสนา
ด้านสังคม
3.การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
ด้านสติปัญญา
4.การแสดงความรู้สึกด้วยคำพูด

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
1. ครูร้องเพลงสงบเด็ก (เพลงลมเพลมพัด) จากนั้นครูก็สนทนากับเด็กเรื่องต้นไม้ และนำเข้าสู่การเล่านิทาน

 ขั้นสอน
2. ครูเล่านิทาน เรื่อง ใต้ร่มเงาไม้ ให้เด็กฟัง พร้อมอธิบายให้เด็กเห็นภาพชัดเจน ตลอดเนื้อเรื่อง
(เนื้อเรื่อง หลังบ้านของชูใจ มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งเป็นต้นไม้ที่พ่อของชูใจปลูกไว้เมื่อ 30ปีทีแล้ว ชูใจชอบมานั่งเล่นใต้ต้นไม้ต้นนี้ประจำ วันหนึ่งแม่เห็นกิ่งไม้ตกใส่หัวของชูใจ แม่เลยเป็นห่วง และ บอกให้ชูใจระวังเกี่ยวกับต้นไม้ เพราะต้นไม้ต้นนี้ปลูกไว้นานแล้ว ชูใจก็ฟังแม่อย่างตั้งใจ และมีความสุขที่ได้เล่นใต้ต้นไม้ต้นนี้ )

ขั้นสรุป
3.ครูทวนข้อควรระวังกับเด็กอีกครั้ง
4.ครูถามเด็กว่านอกจากข้อควรระวังที่กล่าวมามีอะไรอีก และนำคำตอบของเด็กบันทึกลงในแผ่นชาร์ต  

สื่อ
- นิทาน
- ฉากประกอบนิทาน / ตัวละคร
-แผ่นชาร์ตข้อควรระวัง

การประเมิน
สังเกตจาก
1.เด็กสามารถรู้จักข้อควรระวังของต้นไม้
2.เด็กสามารถสนทนากับครูได้
3.เด็กสามารถร่วมกิจกรรมด้วยความสนุกสนาน











ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • นิทานต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่จะสอน
  • นิทานต้องร้อยเรียงให้กระชับ
  • ครูควรอธิบายให้เด็กฟังอย่างละเอียด >>> ยางจากต้นไม้ จะทำให้เด็กๆ เป็นแผลได้ เป็นต้น


Skills

  • ทักษะการฟัง
  • ทักษะการคิด
  • ทักษะการต่อยอดความรู้
  • ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
  • ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน
  • ทักษะการสื่อสาร
  • ทักษะการนำเสนอข้อมูล
Adopt
  • สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้ในการเขียนแผนการสอนต่อไป

Self assessment
  • มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน 
Evaluate friends
  • เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
Teacher Evaluation
  • อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
Classify
  • ห้องเรียนสะอาดกว้าง  บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน โต๊ะเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา